ทางด้านรองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน นางฤชุกร สิริโยธิน ธนาคารชาติ (ธนาคารแห่งประเทศไทย) เผยออกมาว่าตอนก่อนหน้านี้ หนี้สินภาคครอบครัวของประเทศอยู่ในระดับค่อนข้างสูงบางทีอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคครอบครัวและก็ภาพรวมของเศรษฐกิจในระยะยาว ธนาคารแห่งประเทศไทยตระหนักถึงจุดสำคัญต่อการดูแลหนี้สินในภาคครอบครัวดังที่กล่าวมาข้างต้น ก็เลยได้ดำเนินแนวทางเพื่อช่วยเหลือการให้ความรู้ความเข้าใจด้านการเงินแก่พลเมืองอย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งเกื้อหนุนองค์ประกอบเบื้องต้นสำหรับเพื่อการจัดการกับปัญหาหนี้สินอย่างมีระบบภายใต้โครงงานขจัดปัญหาหนี้สินส่วนตัวที่ไม่มีหลักประกันรวมทั้งมีเจ้าหนี้หลายราย หรือ สถานพยาบาลแก้หนี้สินขึ้น
ในการปรับแต่งขั้นตอนการควบคุมดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตรวมทั้งสินเชื่อส่วนตัวคราวนี้ เป็นอีกทางหนึ่งที่จะดูแลการก่อหนี้ของภาคครอบครัวให้สมควรเพราะสามัญชนเข้าถึงสินเชื่อจำพวกนี้ได้ง่าย รวมทั้งเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกัน อาจทำให้ราษฎรบางกรุ๊ปที่มีความเปราะบางก่อหนี้สินกระทั่งเกินความสามารถใช้หนี้ใช้สินของตนเองได้ธนาคารแห่งประเทศไทยก็เลยได้ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตและก็สินเชื่อเฉพาะบุคคล เพื่อดูแลไม่ให้ประชากรบางกรุ๊ปที่มีความเปราะบางสำหรับในการก่อหนี้สินจนกระทั่งเกินความสามารถสำหรับเพื่อการใช้หนี้ใช้สิน ภายหลังจากพบว่าหนี้สินที่ไม่ก่อกำเนิดรายได้หรือเอ็นพีแอลในสินเชื่อ 2 ชนิดมากขึ้นอยู่ที่ 2.9-3%ในสิ้นเดือนเดือนมิถุนายน 2560 รวมทั้งสินเชื่อครอบครัวขยายตัว 3.1% เมื่อไตรมาส 1 ปี 2560
มาตรการดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นจะส่งผลเมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2560 เป็นต้นไปสำหรับผู้ขอมีบัตรเครดิตหรือผู้ขอสินเชื่อเฉพาะบุคคลรายใหม่ ไม่เป็นผลย้อนไปถึงลูกค้าเก่า ส่วนเพดานอัตราค่าดอกเบี้ยมี ผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 เดือนกันยายน 2560 เหมือนกันโดยจะมีผลบังคับกับผู้มีบัตรเครดิตรายเดิม และก็ รายใหม่ปริมาณ 19.8 ล้านบัตร”มั่นใจว่ามาตรการดังที่กล่าวถึงแล้วจะไม่ทำให้หนี้สูญจากสินเชื่อเฉพาะบุคคลรวมทั้งสินเชื่อบัตรเครดิตเปลี่ยนอย่างมีความนัย แม้กระนั้นจะเป็นการวางรากฐานไม่ให้ก่อหนี้สูญในอนาคต โดยในสิ้นเดือนเดือนมิถุนายน หนี้สูญของสินเชื่อบัตรเครดิตแล้วก็สินเชื่อบุคคล อยู่ที่ 2.9% ใกล้เคียงกับไตรมาส 1 ก่อนหน้าที่ผ่านมา โดยธนาคารแห่งประเทศไทยจะแถลงจำนวนทางการอีกทีในวันที่ 10 ส.ค.นี้” นางฤชุกร กล่าว
นายสมบูรณ์ จิตเป็นธม ผู้ช่วย ผู้ว่าการ สายแนวทางสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยบอกว่า มาตรการสินเชื่อบัตรเครดิต ได้ระบุวงเงินแก่ผู้ขอมีบัตรให้เหมาะสมกับความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการจ่ายและชำระหนี้ตามรายได้ต่อเดือน โดยผู้มีรายได้ต่ำยิ่งกว่า 30,000 บาท ให้ได้รับวงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้, รายได้ตั้งแต่ 30,000ถึง 50,000 บาท วงเงินไม่เกิน 3 เท่า แล้วก็รายได้ตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป วงเงินไม่เกิน 5 เท่า และก็ปรับลดอัตราค่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตน้อยลงเหลือ 18% จาก 20% ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการคลังในขณะนี้ที่ทุนด้านการเงินลดลง
ด้านมาตรการสินเชื่อส่วนตัว ได้ปรับวงเงินสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้ต่ำลงมากยิ่งกว่า 30,000 บาทต่อเดือน วงเงินไม่เกิน 1.5 เท่า รวมทั้งให้ได้รับวงเงินสินเชื่อเฉพาะบุคคลจากผู้ประกอบการสินเชื่อส่วนตัวไม่เกิน 3 รายหรือพอๆกับได้วงเงินสูงสุด 4.5 เท่า, สำหรับผู้มีรายได้ ต่อเดือนเกิน 30,000 ขึ้นไป ระบุวงเงินไม่เกิน 5 เท่า แต่ว่าไม่จำกัดปริมาณผู้ทำธุรกิจสินเชื่อเฉพาะบุคคลที่จะให้สินเชื่อแก่ ผู้ใช้แต่ละราย โดยยังคงเพดานดอกรวมทั้งค่าธรรมเนียมสูงสุดไม่เกิน 28% เนื่องจากว่าสินเชื่อส่วนตัวยังมีการเสี่ยงสูง
ดังนี้มั่นใจว่ามาตรการดังที่กล่าวมาข้างต้นจะไม่ทำให้พลเมืองหันไปพึ่งเงินกู้ยืมนอกระบบมากยิ่งขึ้นเนื่องจาก ได้อนุญาตให้ผู้ประกอบกิจการสามารถให้วงเงินชั่วครั้งคราวในกรณีที่ผู้ใช้มีความสำคัญ เร่งด่วนต่อการดำรงอยู่แล้วก็ให้ตารางจ่ายจ่าย คืนตามความรู้ความเข้าใจสำหรับในการใช้หนี้ใช้สินของลูกค้าเหตุการณ์หนี้สินครอบครัวไทยตอนนี้พบว่าคนประเทศไทยติดหนี้ติดสินตั้งแต่อายุยังน้อย คนประเทศไทยอายุ 30 ปี กว่า 50% เป็นหนี้เป็นสินส่วนตัว และก็หนี้สินบัตรเครดิต แล้วก็จำนวน 1 ใน 5 ของคนกรุ๊ปช่วงอายุ 29 ปี เป็นหนี้เป็นสินเสีย รูปทรงพลเมืองที่มีหนี้สินมากขึ้นจาก 20% ในปี 2552 เป็น 30% ในปี 2559 แล้วก็ จำนวนหนี้สินต่อคน เพิ่มเท่าตัว จาก 70,000 บาท ต่อคนภายในปี 2552 เป็น 150,000 บาทต่อคนภายในปี 2559 แล้วก็จากคนประเทศไทยที่ติดหนี้ติดสิน 21 ล้านคน มีปริมาณ 3 ล้านคนหรือ 16% ที่มีหนี้สินติดหนี้เกิน 90 วันหรือ ติดหนี้ติดสินเสีย รวมทั้งพบว่าจำนวนหนี้สินไม่ต่ำลงแม้ว่าจะไปสู่วัยเกษียณอายุก็ตาม